เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o มี.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เขาไม่รู้เรื่อง เขาหมายถึงว่าพระมาอยู่ป่าได้อย่างไร พระต้องอยู่นั่น เขาแกล้งไม่รู้ แต่พอเวลาพระให้ใบสุทธิดูน่ะ เขาบอก “โอ้โฮ! มาจากวัดถ้ำกลองเพลเชียวหรือ” เพราะพระ...บวชมาจากวัดถ้ำกลองเพล ท่านบอก “มาวิเวก” มาอยู่วิเวก เห็นไหม

พวกเรานี่เวลาทำอะไรกันมันต้องมีหนักมีเบา เราทำอะไรทุกวันๆ แล้วเราเบื่อ เราก็ชินชา ความชินชานี่ เราอยู่กับครูบาอาจารย์นะท่านไม่ให้ชินชา ท่านให้เหมือนเขยใหม่ตลอดเวลา นั่งไหนต้องให้ลุกเร็วไวเร็ว นี่บ้านตาดท่านฝึกมาอย่างนั้น มันถึงจะได้คุณงามความดีในหัวใจไง เราทำทุกวันๆ เข้ามันชินชา พอมันชินชาเข้าไปนี่มันก็จะไม่ได้อะไรเลย

เห็นไหม ในศีล ๒๒๗ มันก็มีธุดงควัตรนี้ขึ้นมาอีก ธุดงควัตรขึ้นมาเพื่อจะให้คนเข้มเข้าไปอีก แต่ในธุดงควัตรนี้ไม่ปรับอาบัติ ถ้าใครไม่ถือก็ได้ ใครถือก็ได้ ธุดงควัตรนี้ให้ทำเป็นครั้งเป็นคราว ให้ทำเป็นครั้งเป็นคราวคือว่าเวลาเราจะเข้มขึ้นมานี่ อย่างเข้าพรรษาขึ้นมาเราก็อธิษฐานเลยนะ อธิษฐานว่า “ในพรรษานี้เราจะงดเว้นอะไรบ้าง เราจะทำอะไรบ้างขึ้นมา” นี่เพื่อจะได้ให้มันเปลี่ยนแปลงไง ให้มันมีการเข้มแข็งขึ้นมา ให้มันเข้มขึ้นมามันก็จะได้ทำอะไรให้หัวใจมันเปลี่ยนแปลงบ้าง ถ้าเราอยู่กับความชินชาของเราขึ้นไป

นี่ก็เหมือนกัน ไปสร้างที่วิเวกไว้ก็เพื่อให้พระได้หมุนเวียน ให้พระได้เป็นไป ว่าอยู่ไม่ได้ๆ ทำไมมันจะอยู่ไม่ได้ ถ้าถือตามหลักศาสนานะ ภิกษุอยู่ป่ามาประจำ อยู่ป่าอยู่เขามาประจำ แต่เดี๋ยวนี้ป่าเขามันไม่มีขึ้นมา มันเป็นการบุกรุกขึ้นไป อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เดิมมาภิกษุก็อยู่ป่ามา แล้วศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาประจำชาติของชาติไทย ถ้าชาติไทยไม่มีตรงนี้ ไม่มีการปฏิบัติ เวลาเราทำบุญกับพระ เราก็อยากทำบุญกับพระที่ดีๆ ทำบุญกับพระที่มีหลักมีเกณฑ์

แล้วพระที่มีหลักมีเกณฑ์ เกณฑ์นี้เอามาจากไหน ถ้าเกณฑ์นี้ไม่ประพฤติปฏิบัติมา ทำงานต้องมีออฟฟิศ นักกีฬาเวลาซ้อมต้องมีสนามซ้อม พระเราจะประพฤติปฏิบัติต้องมีป่ามีเขา เห็นไหม มีป่ามีเขา เวลากลางวันมันเป็นอย่างหนึ่ง เวลากลางคืนเป็นอย่างหนึ่ง อยู่ในที่สงัดที่วิเวกนะ ที่มันวิเวกขึ้นมาเราก็กลัวตัวเอง เวลากลางคืนขึ้นมานี่เราจะปรุงแต่งขึ้นมาเลยว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มาหลอกหลอนเรา เป็นผีเป็นสางจะมาหลอกหลอนเรา เห็นไหม นี่เราปรุงเราแต่ง เราหลอกตัวเราเองขึ้นมา ถ้าอาศัยสิ่งนั้นมันที่สงัด ที่สงัดที่วิเวกขึ้นมาทำให้เราระวังตัวขึ้นมา มันจะหลอกตัวเองขึ้นมา หลอกตัวเองกิเลสมันหลอก เห็นไหม

ถ้าเราอยู่ในที่ชุมชน อยู่ในที่ที่เราไว้ใจได้ อยู่ในที่นอนใจ มันจะนอนใจแล้วมันจะไม่ปฏิบัติ มันจะไม่ตื่นตัว ความไม่ตื่นตัวของเรานี่ มันก็นอนวันหนึ่งๆ ผลัดหมดไปวันหนึ่งๆ ถ้าเราตื่นตัวขึ้นมานี่วันหนึ่ง เห็นไหม ชั่วคนมีสติสัมปชัญญะ ชั่วหายใจเข้าและหายใจออก ดีกว่าเราปล่อยชีวิตเราไปวันๆ หนึ่งโดยที่ว่าไม่รู้สึกตัวอะไรเลย เราปล่อยชีวิตเราไปวันๆ หนึ่ง เราไม่มีสติสัมปชัญญะ เราไม่ย้อนกลับมาดูตัวเอง

นี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราไปอยู่ในที่อย่างนั้นนะ มันจะตื่นตัวตลอดเวลา การตื่นตัวตลอดเวลา ความกลัว กลัวอะไร สิ่งที่กลัวปลุกใจให้ฟูขึ้นมา ปลุกใจให้ฟูขึ้นมานี่ เราพยายามย้อนดูใจของเรา ถ้าเราย้อนดูใจของเรา เห็นไหม นี่ย้อนดูใจของเรา ดูว่ามันตื่นกลัวอะไร แต่เดิมใจมันก็ผัดวันประกันพรุ่งไปเฉยๆ ชีวิตเรานี่อยู่ไปวันๆ วันหนึ่ง เห็นไหม คนเรานี่กำหนดให้มีกี่วันตายขึ้นมา มันจะตื่นกลัวขึ้นมา

ในสมัยพุทธกาล เห็นไหม พระเจ้าแผ่นดินน่ะ น้องกษัตริย์เข้าไปเที่ยวในป่า ไปเจอในป่าเข้านี่ ไปถามพวกฤๅษีชีไพร เขาบอกว่า “อยากจะสึกไหม?”

“อยาก” เขาก็อยากทั้งนั้นนะ เขามีความอยากทุกๆ อย่าง ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาก็กลับมาบอกพี่ชายไง พี่ชายเป็นกษัตริย์ บอกว่า “พระอยู่กินอยู่ไปวันๆ หนึ่งมันจะเก็บอารมณ์ได้อย่างไร? มันยังมีความอยาก”

อันนี้พี่ชายนี่เป็นกษัตริย์และเป็นผู้มีปัญญาด้วย อย่างนั้นทำเป็นโกรธไง ว่าจะประหารชีวิตน้อง ภายในอีก ๗ วันจะประหารชีวิต ให้ครองราชย์ก่อน ให้เป็นกษัตริย์ เวลาเป็นกษัตริย์ขึ้นมามันคิดถึงอีก ๗ วันนั้นน่ะมันไม่มีความสุขเลย คิดถึงแต่ว่า “เราต้องตาย เราต้องตาย” ไม่มีความสุขเลย พอถึงวันตายเข้าจริงๆ จะเอาไปประหาร เห็นไหม บอกว่า “ไม่ประหารหรอก” เพียงแต่บอกให้ได้คิดไง ว่าพระเรานี่ถ้าคิดถึงวันตาย เห็นไหม กำหนดอสุภะอสุภังขึ้นมานี่ มันจะตื่นตัวตลอดเวลา

ถ้าเราไม่คิดถึงอสุภะอสุภัง ไม่ตื่นตัวตลอดเวลา มันจะเพลินไปกับอารมณ์โลก เราจะอยู่กับโลกเขาไปนะ เพลินกับอารมณ์โลกไป ใจอยู่กับอารมณ์โลกไป มันจะหมุนเวียนไปกับประสาโลก แล้วมันจะหมุนออกไปเรื่องของโลกเขา คิดแต่เรื่องของโลกเขา ถ้าคิดถึงมรณานุสติ เห็นไหม คิดถึงความตายขึ้นมานี่ บางคนคิดแล้วมันสลดสังเวช คิดแล้วไม่อยากทำอะไรเลย ถ้าคิดถึงความตายขึ้นมานี่มันจะเตือนตัวเอง เพราะมันเตือนตัวเองมันก็เตือนตัวเราขึ้นมา

เราได้สรรพสิ่งขึ้นมา สรรพสิ่งต่างๆ ได้ขึ้นมาเพราะมีเรา เราทำหน้าที่การงานขึ้นมา ทำงานขึ้นมานี่ เราได้งานมา เราได้เงินมา เราไปแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ มา มันเกิดขึ้นจากเราทั้งหมดเลยนะ ของสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นของประจำโลกเขา เราจะมีหรือเราไม่มี มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เป็นสมบัติกลาง แต่สมบัติของเราเพราะเราได้ทำบุญกุศล เห็นไหม เราได้ทำบุญกุศลมันก็เป็นสมบัติของเรา

เราทำการทำงานขึ้นมาก็เหมือนกัน เราได้เงินได้ทองขึ้นมา เราก็แลกเปลี่ยนสิ่งนั้นมาเป็นของเรา เป็นของเราๆ พอเป็นของเรานี่เราก็เพลินในสิ่งนั้น พอเพลินในสิ่งนั้นจนไม่เห็นตัวตนไง ไม่เห็นเรา ไม่เห็นคุณค่าของเรา เราต้องระลึกถึงตัวเราเองตลอดเวลา ถ้าระลึกถึงตัวเรานี่ เรามีคุณค่ามากนะ เพชรแก้วแหวนเงินทองนี่ไม่มีคุณค่าเท่ากับชีวิตของเราหรอก เพราะชีวิตของเรา เรามีขึ้นมานี่ มันถึงจะมีประโยชน์ขึ้นมา เห็นไหม ถ้าเราตายไปนะ ดูสิ อย่างร้านเขาขายเพชรขายพลอยนี่ เราเดินผ่านไป มันมีเต็มตู้เลย มันไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่สนใจ

นี้ก็เหมือนกัน สมบัติของเราอยู่กับเรา ถ้าเราตายไปหรือเราต้องพลัดพรากจากไป มันก็ต้องอยู่ในตู้เซฟ อยู่ในที่เก็บของเรา มันก็เก้อๆ เขินๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ มันจะมีคุณค่าที่ไหน เห็นไหม มันไม่มีคุณค่าเพราะเราไม่ได้ไปรับรู้กับมัน เราไม่ยึดมั่นถือมั่นกับมัน ไม่เป็นสมบัติของเรา ถ้าเป็นสมบัติของเรา เราถึงยึดของเราขึ้นมา นี่ยึดของเราขึ้นมา มันเลยมีคุณค่าเหนือเราไง เพราะมีคุณค่าเหนือเรา เราถึงแสวงหาสิ่งนั้น เราคิดว่าสิ่งนั้นจะเป็นที่พึ่งๆ

มันพึ่งไม่ได้ สรรพสิ่งในโลกนี้พึ่งพาอาศัยไม่ได้จริง แต่พึ่งพาอาศัยได้ชั่วคราว ด้วยเป็นปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย นี่ศาสนาสอนเข้ามาให้ถึงหัวใจไง สอนเข้ามาถึงที่ใจ ถ้าถึงที่ใจได้ ยับยั้งที่ใจได้ ถ้าใจรู้สึกสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ใจมันจะฟื้นตัวขึ้นมาๆ เราจะมีคุณค่าขึ้นมา ถ้าตัวตนเรามีคุณค่าขึ้นมา สรรพสิ่งจะไม่มีคุณค่าเลย ถ้าเราเห็นแต่สรรพสิ่งมีคุณค่านี่ มันลืมคนนะ มันลืมตัวเราไป มันลืมสรรพสิ่งเราไป

ศาสนาสอนอย่างนั้น ศาสนาสอนลงที่ใจ ใจของสัตว์โลก สัตว์โลกต้องเกิดต้องตาย ต้องเวียนเกิดเวียนตาย มันเวียนเกิดเวียนตายมาขนาดไหนนี่ มันมีคุณค่ามหาศาล เรื่องของใจนี้เป็นเรื่องที่มีคุณค่ามหาศาลมากจริงๆ นะ เพราะเรื่องของใจนี่ ทุกข์สุขก็เรื่องของใจ เวลาคนตายไปแล้วศพเอาไปเผาไฟ มันไม่รับรู้สิ่งต่างๆ เลย มันจะรับรู้สิ่งใดๆ เพราะมันไม่รู้หรอก เผาไฟมันก็ไม่รับรู้ เห็นไหม ร่างกายมันไม่รับรู้สิ่งต่างๆ เวลาออกไป

แต่นี่ร่างกายเรารับรู้ เพราะมีใจของเราอยู่ในร่างกายของเรา มันก็รับรู้ เห็นไหม ใจต่างหากเป็นผู้รับรู้ ใจต่างหากเป็นผู้ทุกข์ผู้ยากนะ ใจต่างหากที่มันดิ้นรนต่างหาก แล้วนี่ถ้าเราทำความสงบเข้ามา เห็นไหม เราฝึกฝนตอนนี้มันมีโอกาส มีโอกาสตอนมีชีวิตอยู่ ถ้าเราตายไปเราจะไม่มีโอกาสนะ พอจิตออกไปแล้วนี่มันเป็นอีกสภาวะหนึ่ง สภาวะหนึ่งเพราะไม่มีร่างกายมาบีบคั้น เห็นไหม ถ้ามีร่างกายบีบคั้นอยู่นี่ เวลาหิวข้าวหิวน้ำขึ้นมามันก็บีบคั้นแล้ว พอหิวขึ้นมามันก็ต้องไปหาสิ่งนั้นมาทดแทน

นี้ก็เหมือนกัน เวลามันข้องใจ มันไม่พอใจกับสิ่งต่างๆ ของเรา ดูอย่างความสวยความงามสิ เราไม่พอใจสิ่งต่างๆ เราพยายามจะให้มันอยู่กับเราตลอดไป มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันของชั่วคราวชั่วอยู่อาศัย ชั่วที่ว่าเราตื่นตัวขนาดไหน ถ้าเราตื่นตัวขนาดไหน เราก็ทำคุณงามความดีได้มากขนาดนั้น ถ้าเราไม่ตื่นตัวเลยเราจะไม่ได้คุณงามความดีเลย คุณงามความดีของเรา เราจะไม่ได้เลย

คุณงามความดีเป็นอาหารของใจ คุณงามความดีเป็นคุณสมบัติของใจ ใจมีบุญกุศลนี่ใจพาเกิด บุญกุศลพาเกิด เกิดที่สิ่งที่ดี เห็นไหม มันไม่ถึงที่สุดหรอก มันต้องพาเกิดพาตายแน่นอน ถ้าไม่ถึงที่สุด มันก็ต้องมีเครื่องอยู่อาศัย เหมือนออกจากบ้านมีเสบียงกรังไปพร้อม เห็นไหม ใจออกจากร่างไปมีบุญกุศลไปพร้อมนี่ มันมีโอกาสมากกว่า เราถึงเป็นผู้แสวงหา

โลกเขามองกันอย่างนั้นนะ มองผู้ที่ไปวัดไปวานี่เป็นผู้ที่มีปัญหา มีปัญหาสิปัญหาเพราะทุกข์ของใจ แล้วมีปัญหาเหมือนคนไข้ คนไปโรงพยาบาลนี่คนเจ็บไข้ได้ป่วยไปโรงพยาบาล เห็นไหม ถึงจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเขาก็ไปโรงพยาบาล เพื่อไปตรวจร่างกายของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ไปวัดไปวาก็เพื่อสะสมบุญของตัว มันจะมีปัญหาไปตรงไหน มีปัญหาคือว่าเขาฉลาดต่างหาก เขาฉลาดจะเอาตัวรอดต่างหาก เขาฉลาดเอาที่พึ่งอาศัยต่างหาก เขาฉลาดเขาถึงไป ไอ้คนโง่น่ะมันอยู่ที่บ้าน อยู่ที่อยู่ของมันอยู่อย่างนั้นแล้วมันไม่ทำแล้ว เห็นคนอื่นทำมันก็ขัดขวางขัดหูขัดตา เห็นไหม มันขัดหูขัดตาของมันเอง นี่กิเลสมันในหัวใจ มันบีบคั้นนะ ปิดกั้นสมบัติของตัวเองจนตัวเองไม่เข้าใจตัวเองแล้ว คนอื่นทำมันก็ยังขัดหูขัดตา เห็นไหม นี่กิเลสมันเป็นแบบนั้น

ถ้าเรามาวัดของเรา เราทำบุญกุศลของเรา เราพยายามสะสมของเรา เราแก้ไขของเรา เราแก้ไขได้ ใจนี่แก้ไขได้ แล้วแก้ไขได้ด้วยศาสนา ด้วยมรรคผลนิพพาน ด้วยมรรคอริยสัจจัง ด้วยธรรมฝ่ายเหตุนะ ด้วยการประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา เข้าไปแก้ไขได้ ทำ...ทำได้ ทุกคนทำได้ ถ้ามีหัวใจเพราะมันทำด้วยใจ ไม่ได้ทำด้วยมือ ไม่ได้ทำด้วยอะไรต่างๆ เราอาศัยใจทำ ถ้าใจมันสงบขึ้นมามันก็ได้ผล ถ้าใจไม่สงบขึ้นมามันก็จะไม่ได้ผลขึ้นมา

ใจสงบขึ้นมายกขึ้นวิปัสสนาจนมันชำระกิเลสได้ เห็นไหม นั่นน่ะมันต้องอาศัยสิ่งต่างๆ จะว่าไม่อาศัยเลยมันก็ไม่ได้ นกมันก็มีรังมีรวงของมัน พระเราก็ต้องมีที่อยู่อาศัย ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติก็ต้องมีที่อาศัย ถึงต้องแสวงหาเพื่อจะได้สร้างพระมา มันก็เลยเป็นเรื่องเหตุผลต้องออกไปเดือดร้อนไง ต้องออกไปหาสิ่งนั้น ไปทำเพื่ออะไร? ก็เพื่อตรงนี้

สุดท้ายแล้วมันก็เป็นสมบัติของโลกทั้งหมด ทำเพื่อบุญกุศลของเรา ทำเพื่อสร้างพระขึ้นมา ถ้าพระมันสร้างได้มันก็สร้างได้ พระสร้างไม่ได้มันก็จนใจ ถ้าทำไม่ได้มันก็แล้วแต่โอกาสของคน ในเมื่อเราสร้างโอกาสให้แล้ว ทำให้แล้ว มันควรจะสร้างสมบัติของตนขึ้นมาได้ ถ้าสร้างสมบัติของตนขึ้นมาได้ ก็เป็นสมบัติส่วนตนของแต่ละบุคคล แต่ละบุคคล จะเป็นสมบัติของเขา เอวัง